ในงาน Brasil Game Show 2025 ที่ผ่านมา แฟน ๆ Final Fantasy ได้รับข่าวดีจากปากของผู้กำกับ Naoki Hamaguchi โดยตรง เมื่อเขาขึ้นเวทีพูดถึงความคืบหน้าของ Final Fantasy 7 Remake Part 3 — บทสรุปสุดยิ่งใหญ่ของไตรภาครีเมกที่ทั่วโลกรอคอย
Hamaguchi เผยว่า ทีมพัฒนา Square Enix ไม่ต้องการตัดทอนเนื้อเรื่องหรือเกมเพลย์ใด ๆ ออกจากสองภาคก่อนหน้า เพราะเนื้อหาเหล่านั้นคือสิ่งที่แฟนเกมต้นฉบับปี 1997 คาดหวังจะได้เห็นอย่างเต็มรูปแบบ
“Final Fantasy 7 เป็นเกมที่มีแฟนคลับจำนวนมหาศาลทั่วโลก เราสามารถตัดบางส่วนออกแล้วทำให้จบในเกมเดียวก็ได้ แต่แฟน ๆ ต้นฉบับคงไม่ให้อภัยเราแน่นอน” Hamaguchi กล่าวบนเวที
“ถ้าเราต้องการเล่าเรื่องนี้ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้สมบูรณ์ในเกมเดียว นั่นคือเหตุผลที่เราตัดสินใจทำเป็นสามภาค”
เขายังเสริมด้วยว่า ภาคที่ 3 จะมอบตอนจบที่ “สมบูรณ์และน่าพอใจ” สำหรับทั้งผู้เล่นรุ่นใหม่และแฟนรุ่นเก่า พร้อมกล่าวอย่างมั่นใจว่า บทสรุปนี้จะ “เป็นเกมที่ทุกคนหลงรัก”
“ผมมีภาพชัดเจนของตอนจบในใจแล้วครับ และผมมั่นใจว่ามันจะเป็นบทสรุปที่ทำให้ทั้งแฟนรุ่นเก่าของภาคต้นฉบับ และผู้เล่นที่เพิ่งมารู้จัก FF7 ผ่าน Remake Trilogy ต่างหลงรักเหมือนกัน”
ก่อนหน้านี้ในเดือนเดียวกัน Hamaguchi ยังให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับ แนวทางการพัฒนาข้ามแพลตฟอร์ม (Multiplatform) ซึ่งเป็นสิ่งที่ Square Enix เริ่มให้ความสำคัญมากขึ้น เขายืนยันว่า การพัฒนาเกมเวอร์ชันต่าง ๆ — บน PS5, Xbox Series X/S, PC และ Nintendo Switch 2 — ไม่ได้ทำให้โครงการล่าช้าแต่อย่างใด
ถึงแม้จะยอมรับว่ามีปัญหาเรื่อง “หน่วยความจำจำกัด” บนแพลตฟอร์ม Xbox ที่ทีมต้องปรับแต่งเป็นพิเศษ แต่โดยรวมแล้ว “การพัฒนาเป็นไปได้อย่างราบรื่น” เพราะ Square Enix มีทีมแยกเฉพาะแต่ละแพลตฟอร์มที่รับผิดชอบโดยตรง
นอกจากนี้ Hamaguchi ยังยืนยันว่า หลังจาก Final Fantasy 7 Remake Intergrade เปิดตัวบน Nintendo Switch 2 และ Xbox Series X/S ในวันที่ 22 มกราคม 2026 แล้ว ทางค่ายก็มีแผนจะนำเกมอีกสองภาคในไตรภาคนี้มาลงให้ครบทุกแพลตฟอร์มอย่างแน่นอน
แล้วสิ่งนี้สำคัญกับผู้เล่นอย่างไร?
คำพูดของ Hamaguchi คือสัญญาณชัดเจนว่า Square Enix ตั้งใจจะ “ปิดตำนาน” Final Fantasy 7 Remake Trilogy อย่างสมบูรณ์แบบ — โดยไม่รีบ ไม่ตัดทอน และไม่ประนีประนอม เพื่อให้แฟน ๆ ทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดจากเกมภาคจบนี้ ถ้าเขาทำได้ตามที่พูดจริง นี่อาจกลายเป็นหนึ่งในตอนจบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เกม RPG สมัยใหม่เลยก็ว่าได้
