กระแสถกเถียงเรื่อง Generative AI ในวงการเกมยังเดือดต่อเนื่อง หลัง Swen Vincke ผู้ก่อตั้ง Larian Studios และผู้กำกับซีรีส์ Divinity ออกมาพูดถึงบทบาทของ AI ในการพัฒนาเกม ล่าสุด Daniel Vávra ผู้ร่วมก่อตั้ง Warhorse Studios และผู้กำกับ Kingdom Come: Deliverance ก็ออกมาแสดงความเห็นของตัวเองผ่านโพสต์ยาวบนโซเชียล โดยมองว่าความ “ตื่นตระหนกเรื่อง AI” กำลังเลยเถิด และเขาเห็นด้วยกับมุมมองของ Vincke ในหลายจุด
Vávra เปิดประเด็นแบบตรงไปตรงมาว่าเขา “ไม่ใช่แฟนของงานศิลปะที่สร้างด้วย AI” แต่ในขณะเดียวกันก็ย้ำว่าโลกมันเดินมาถึงจุดที่เราต้องยอมรับความจริงแล้ว “AI อยู่กับเราไปแล้ว” ต่อให้มันจะน่ากลัวแค่ไหนก็ตาม โดยสิ่งที่ทำให้เขาหวั่นใจที่สุดกลับเป็น “ดนตรี” เพราะตอนนี้มันเริ่มยากขึ้นเรื่อย ๆ ที่จะแยกออกว่าเพลงไหนถูกสร้างโดย AI
แต่ในอีกด้าน เขามองว่า AI อาจเป็นคำตอบของปัญหาใหญ่ที่คนทำเกมจำนวนมาก “เกลียด” เหมือนกัน นั่นคือการทำเกมสมัยนี้ใช้เวลานานมหาศาล ต้องใช้คนเป็นร้อย ๆ และใช้งบระดับหลายสิบล้านดอลลาร์ แถมยังมีงานบางประเภทที่จำเป็นต้องทำ แต่…มันน่าเบื่อและไม่ได้สำคัญกับหัวใจของเกมจริง ๆ
This AI hysteria is the same as when people were smashing steam engines in the 19th century. @LarAtLarian said they were doing something that absolutely everyone else is doing and got an insanely crazy shitstorm.
— Daniel Vávra ⚔ (@DanielVavra) December 17, 2025
I've even seen someone accuse us of using AI in KCD2. I don't… https://t.co/l7pNbTxeIT
เขายกตัวอย่างแบบเจ็บ ๆ ว่าเพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งต้องเสียเวลาในสตูดิโอไปถึง 500 ชั่วโมง เพื่ออัดเสียง “คำโห่แซวทั่วไป” และ “บทพูดในบาร์แบบทั่วไป” ที่ไม่ได้มีน้ำหนักเชิงดราม่าหรือสาระสำคัญอะไรนัก
Vávra จึงตั้งคำถามกลับว่า ถ้า AI ช่วยลดงานจุกจิกเหล่านี้ได้ จนทำให้เขาสร้าง “เกมระดับมหากาพย์” ได้ในเวลาแค่ปีเดียว ด้วยทีมเล็กลงเหมือนสมัยก่อน เขาก็ “เอาด้วยเต็มที่” และถึงอย่างนั้นเกมก็ยังต้องมีทั้ง Art Director, นักเขียน, โปรแกรมเมอร์, กราฟิกดีไซเนอร์อยู่ดี เพียงแต่ทุกคนไม่ต้องจมอยู่กับงานจำเจ แต่ได้ทุ่มพลังไปกับ “สิ่งที่สำคัญจริง ๆ” แทน
เขายังเล่าด้วยว่า ตัวเองมีไอเดียเกมมากมาย แต่ตอนนี้อายุ 50 แล้ว และตลอดมามักใช้เวลาเฉลี่ยราว 7 ปีต่อหนึ่งเกม ถ้า AI ช่วยให้ทำไอเดียเหล่านั้นเป็นจริงได้เร็วขึ้น เขาก็พร้อมเปิดรับ
ประเด็นที่น่าสนใจอีกอย่างคือ Vávra มองภาพของ AI กับ “การเขียนบทและบทสนทนา” โดยเฉพาะส่วนที่ไม่ใช่แกนเรื่องหลัก แต่เป็นส่วนเติมเต็มโลกของเกม (worldbuilding) เขาชี้ว่าแม้วันนี้จะมีเทคโนโลยีอย่าง 11labs ที่ช่วยวางสคริปต์และทำระบบฐานความรู้ให้ NPC ได้แล้ว แต่เขาอยากไปให้ไกลกว่านั้นด้วยคำถามที่ฟังแล้วแฟน RPG น่าจะตาเป็นประกาย: “มันจะดีแค่ไหน ถ้าคุณถามใครก็ได้ อะไรก็ได้ ในเกม RPG?”
สำหรับเขา นี่คือ “การปฏิวัติ” ในมุมมองผู้เล่น เพราะบทสนทนานอกเนื้อเรื่องหลักมันมีความเป็นไปได้แบบ “ไร้ขีดจำกัด” ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์อัดเสียงด้วยนักพากย์จริงแทบเป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งที่ควรเก็บไว้ให้มนุษย์ทำก็ยังชัดเจน เช่น คัตซีนและบทสนทนาเนื้อเรื่องหลักที่ต้องการการแสดงระดับสูง ขณะที่บทอย่าง “สั่งไส้กรอกในผับ” หรือ “ถามทางไปปราสาท” ไม่จำเป็นต้องใช้อารมณ์ระดับรางวัลออสการ์เสมอไป
ท้ายที่สุด Vávra เปรียบการต่อต้านการแพร่หลายของ Generative AI ว่าไม่ต่างจากการต่อต้าน “จักรเย็บผ้า” ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ หรือการพยายามกลับไป “ขี่ม้า” ทั้งที่รถยนต์และเครื่องบินกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ก่อนปิดโพสต์ด้วยประโยคที่ทั้งน่าหวั่นใจและน่าตื่นเต้นในเวลาเดียวกันว่า Generative AI “อาจหมายถึงจุดจบของมนุษยชาติ” ก็ได้ ไม่มีใครรู้ แต่ในอีกด้านมันก็อาจทำให้ “ใครก็ได้” สามารถสร้างไอเดียยิ่งใหญ่แทบทุกอย่างได้ ด้วยต้นทุนเพียงเศษเสี้ยวของเดิม
และคำถามที่ค้างอยู่ในหัวคนเล่นเกมก็คือ ถ้า AI ทำให้โลกของ RPG ตอบโต้เราได้แทบไม่สิ้นสุดจริง ๆ…คุณอยากให้มันเกิดขึ้นแค่ไหน และยอมแลกอะไรเพื่อมัน?


