Final Fantasy 7 Rebirth

ผู้กำกับเผย Final Fantasy 7 Remake ได้แรงบันดาลใจจากเกมเน้นเนื้อเรื่องอย่าง The Last of Us และ God of War

Naoki Hamaguchi ผู้กำกับไตรภาค Final Fantasy 7 Remake เปิดเผยว่า แรงบันดาลใจสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการเล่าเรื่องของเกม มาจากเกมเน้นเนื้อเรื่องระดับตำนานอย่าง The Last of Us และ God of War ซึ่งกลายเป็นแบบอย่างสำคัญให้ทีมพัฒนาในด้าน “การสร้างประสบการณ์การเล่าเรื่องที่เข้มข้นและดึงอารมณ์ผู้เล่น”

ในการให้สัมภาษณ์ล่าสุด Hamaguchi กล่าวผ่านล่ามว่า Final Fantasy 7 Remake เป็นเกมที่ขับเคลื่อนด้วยเรื่องราวอย่างแท้จริง ทำให้ทีมต้องมองหาแรงบันดาลใจจากเกมของ PlayStation ที่เน้นโครงสร้างการเล่าเรื่องและการพัฒนาอารมณ์ของตัวละครเป็นหลัก

“เกมภาคแรกอย่าง Final Fantasy 7 Remake เป็นเกมที่ขับเคลื่อนด้วยเรื่องราว ผมจึงมองหาแรงบันดาลใจจากเกมเน้นเนื้อเรื่อง เช่น God of War หรือ The Last of Us ซึ่งเป็นเกมที่ทำให้เราเห็นวิธีการเล่าเรื่องที่ทรงพลัง”
Naoki Hamaguchi, Director

จากเส้นทางสู่โลกกว้างใน Rebirth

Hamaguchi ยังกล่าวต่อว่า สำหรับภาคต่ออย่าง Final Fantasy 7 Rebirth ทีมพัฒนาได้รับแรงบันดาลใจจากเกมแนว Open-world โดยเฉพาะเกมที่ผสมผสานการสำรวจเข้ากับการเล่าเรื่องได้อย่างลงตัว เช่น The Witcher 3

“ในภาค Rebirth เราอยากเปิดโลกมากขึ้น และแรงบันดาลใจของผมมาจากเกมโอเพ่นเวิลด์อย่าง The Witcher 3 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเกมสามารถเล่าเรื่องที่ยิ่งใหญ่ได้ โดยไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่ในเส้นทางเดียว”

แนวทางนี้สอดคล้องกับสิ่งที่แฟน ๆ ได้เห็นใน Rebirth ซึ่งมอบอิสระให้ผู้เล่นสำรวจโลกกว้างของ Final Fantasy VII ได้อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมกับภารกิจย่อยและปฏิสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับตัวละคร

สำหรับผู้เล่นหน้าใหม่ — “แค่เล่นและสนุก”

เมื่อถูกถามถึงผู้เล่นใหม่ที่อาจเริ่มซีรีส์นี้จาก Final Fantasy 7 Remake Intergrade, Hamaguchi กล่าวอย่างติดตลกว่า แม้จะอยากอธิบายโลกของ Midgar อย่างละเอียด แต่สิ่งที่อยากให้ผู้เล่นทำมากที่สุดคือ “เข้าไปสัมผัสด้วยตัวเอง”

“มีแฟนเกมหลายคนบอกผมว่า พวกเขาอยากลืมทุกอย่างเกี่ยวกับ Final Fantasy 7 แล้วกลับมาเล่นใหม่อีกครั้งโดยไม่รู้อะไรเลย… ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ยอดเยี่ยม เพราะเรื่องราว ตัวละคร และโลกของเกมนี้คือส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เกมที่ทุกคนควรได้สัมผัส”

ปิดฉากไตรภาคในภาคที่ 3

ขณะนี้ทีมงานของ Hamaguchi กำลังเตรียมปล่อย Final Fantasy 7 Remake Intergrade เวอร์ชัน Nintendo Switch 2 และ Xbox Series X/S ในวันที่ 22 มกราคม 2026 พร้อมกับพัฒนา ภาคที่ 3 ของไตรภาคควบคู่กัน

ในการปรากฏตัวที่งาน Brasil Game Show 2025, Hamaguchi ยืนยันว่า บทสรุปของไตรภาคนี้จะ “ถูกใจทั้งแฟนเกมรุ่นเก่าและผู้เล่นรุ่นใหม่” โดยเน้นว่า การแบ่งเกมออกเป็นสามภาคคือสิ่งที่จำเป็น เพื่อให้สามารถเล่าเรื่องอันซับซ้อนของภาคต้นฉบับปี 1997 ได้อย่างสมบูรณ์

แล้วสิ่งนี้สำคัญกับผู้เล่นอย่างไร?

คำพูดของ Hamaguchi แสดงให้เห็นว่า Final Fantasy 7 Remake ไม่ได้เป็นเพียงการ “รีเมกเกมคลาสสิก” แต่เป็นการ “ตีความใหม่” ด้วยมุมมองแบบเกมสมัยใหม่ที่เน้นการเล่าเรื่องและการมีส่วนร่วมของผู้เล่น

นี่คือการผสมผสานระหว่างหัวใจของเกม RPG แบบญี่ปุ่น เข้ากับการเล่าเรื่องเชิงอารมณ์แบบตะวันตก — และอาจเป็นแนวทางที่ทำให้ซีรีส์ Final Fantasy ยังคงสดใหม่และร่วมสมัยแม้ผ่านมาหลายทศวรรษ

GameTonix Ads Banner 970x250